ประสบการณ์ : คุณสุพรรณี มั่งคั่ง
คุณสมบัติ : โฮจ้าชู
ดิฉัน สุพรรณี มั่งคั่ง เป็นสมาชิกสาขามัตสึชิตะ คุณสมบัติโฮจ้าชู วันนี้รู้สึกขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาบทบาทผู้นำครั้งที่ 2/2564 แม้จะมีอุปสรรคจากโควิด-19 ทำให้เราไม่สามารถมาพบกันตัวเป็น ๆ ได้ แต่เราก็ยังเห็นหน้ากันได้ผ่านทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้พวกเรายังมีโอกาสได้เห็นหน้ากันนะคะ เห็นหน้ากันแล้วหลายๆ ท่านคงจะพอรู้จักดิฉัน อย่างที่ทราบกันแล้วว่าดิฉันเข้าเป็นสมาชิกเรยูไกตั้งแต่อายุ 15 ปี โดยการแนะนำของเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันคือคุณนันทวรรณ อรุณฤกษ์ ปัจจุบันเธอแต่งงานกับชาวอังกฤษมีลูก 2 คน และอาศัยอยู่ประเทศอังกฤษคะ เธอเป็นหลานสาวของคุณปู่วิรัต อรุณฤกษ์ สมาชิกรุ่นบุกเบิกของเรยูไก ซึ่งท่านได้เสียชีวิตไปแล้วแต่ดิฉันก็ยังนึกถึงท่านเสมอ เพราะทำให้ดิฉันได้มาพบกับทุก ๆ คนในวันนี้ ตอนสมัครครั้งแรกนั้นมีเพื่อน ๆ มาสมัครด้วยกัน 5 คนรวมทั้งดิฉันด้วย (ถ้าจำไม่ผิด) แต่สุดท้ายเหลือแค่ดิฉันที่ยังเป็นสมาชิกเรยูไกเพียงคนเดียว ระยะเวลาจากวันนั้นถึงวันนี้ก็ผ่านมา 38 ปีแล้ว ทำไมถึงมีดิฉันคนเดียวที่ยังเป็นสมาชิกเรยูไกอยู่ นั่นเพราะดิฉันเชื่อในแนวทางปฏิบัติของเรยูไกที่ยึดหลักปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งดิฉันมีความศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แม้การปฏิบัติดูว่าไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายที่จะทำตามได้อย่างสม่ำเสมอ
จากคำกล่าวของท่านอาจารย์คิมิ โคตานิ ซึ่งได้เคยกล่าวไว้ว่า “ คำอธิษฐานขอให้ครอบครัวมีความสุขถือว่าเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง นอกจากการอธิษฐานแล้วเรายังต้องดำเนินชีวิตด้วยการกระทำที่ถูกต้อง กรรมดีของบรรพบุรุษ และการสวดมนต์สัจธรรมปุณฑริกสูตรทำให้เราได้รับการปกป้องคุ้มครองและมีความสุข ในทุก ๆ วันเราต้องพากเพียรพยายามดำเนินชีวิตให้ถูกทำนองครองธรรม อย่าหลอกลวงผู้อื่น ตั้งใจปฏิบัติตามสัจธรรมปุณฑริกสูตรเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักปรัชญาที่ดีที่สุด ทุกคนไม่ว่าจะมีการศึกษาหรือไม่มีการศึกษาก็สามารถปฏิบัติธรรมได้อย่างเท่าเทียมกันขอให้ตั้งใจให้ดีที่สุด ก้าวเดินไปตามทางที่ดี ตามหลักปรัชญาที่ถูกต้องจะสามารถสร้างคนดีมีคุณภาพทำให้ไม่เกิดเภทภัยต่าง ๆ” ซึ่งดิฉันก็เชื่อในคำกล่าวของท่านอาจารย์คิมิ โคตานิ การที่ดิฉันเชื่อมั่นในคำอธิษฐานทำให้มีประสบการณ์เกิดขึ้น คือ ตามที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกสาม ทุกๆ คน ต่างต้องระวังดูแลตัวเองไม่ให้ติดโรค และเมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจสำหรับดิฉัน เพราะน้องชาย และน้องสาว ของดิฉันติดโรคโควิด-19 นี้จนได้ เนื่องจากน้องชาย และน้องสาวของดิฉันขายของอยู่ที่ตลาดสำโรง ซึ่งถือว่าเป็นคลัสเตอร์ที่ใหญ่พอสมควรแม่ค้าพ่อค้าที่ขายของในตลาดนี้ติดกันเกือบครึ่งตลาด ทำให้พวกเขาได้รับเชื้อมาจากตรงนั้น ตอนที่ทราบข่าวนั้นดิฉันได้เล่าเรื่องนี้ให้รุ่นพี่ฟัง คือคุณบุญญาภา สกุลแสงกระจ่าง รุ่นพี่จึงได้แจ้งข่าวไปยังเพื่อน ๆ สมาชิกให้รับทราบและทุกคนช่วยกันสวดมนต์อธิษฐานให้น้องชายและน้องสาวของดิฉันกันทันทีที่ทราบข่าว อีกทั้งคุณฮิโตมิ ยังได้เขียนโฮเมียวโรคทั้งของน้องชายและน้องสาวของดิฉัน ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งใจ และขอขอบคุณทุกคนเป็นอย่างมากคะ ในช่วง 2 – 3 วันแรกของการรักษา แม้ว่าดิฉันและน้องสาวอีกคนที่ไม่ได้ติดโรครวมทั้งหลาน ๆ เราจะช่วยสวดมนต์กันอย่างเต็มที่แต่อาการของน้องชายยังไม่ดีขึ้นเนื่องจากเชื้อเข้าสู่ปอดประกอบกับน้องชายมีโรคประจำตัวคือเบาหวาน และความดันสูง และเป็นคนไม่ค่อยออกกำลังกายจึงมีอาการป่วยมากกว่าน้องสาว ซึ่งเป็นคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอเธอจะเล่นโยคะบ้าง ต่อยมวยบ้าง ดังนั้นเมื่อได้รับเชื้อเข้าไปจึงไม่ส่งผลรุนแรงมากนักเพราะน้องสาวมีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่แล้ว น้องสาวโดนกักตัวในโรงพยาบาลสนามกักตัวผู้ได้รับเชื้อ ซึ่งการดูแลของหมอพยาบาลนั้นเขาดูแลตามอาการเนื่องจากเชื้อไม่ได้ลงปอดน้องสาวจึงไม่ต้องรับยาฆ่าเชื้อ แต่น้องชายเมื่อเชื้อลงปอดทำให้ปอดอักเสบเนื้อเยื่อปอดถูกทำลายทำให้หายใจไม่สะดวกหมอต้องให้ออกซิเจน และยาฆ่าเชื้อ เมื่อดิฉันนำข่าวมาบอกแก่คุณฮิโตมิอีกครั้งตอนที่ท่านโทรมาถามถึงอาการของน้อง ๆ ท่านจึงแนะนำให้หาสมาชิกเพิ่มท่านบอกว่าการหาสมาชิกจะได้บุญมากมีพลังเทียบกับการสวดมนต์ 1,000 ครั้ง ดังนั้นดิฉันจึงได้แนะนำหลาน ๆ ซึ่งก็คือลูกของน้องชาย และน้องสาวที่ติดโควิด ว่าขอให้สมัครเป็นสมาชิกเรยูไกหน่อยได้ไหมเพื่อส่งบุญไปให้พ่อแม่ของพวงเขาได้ปลอดภัยจากโควิด หลาน ๆ ก็เต็มใจที่จะสมัครในครั้งนี้มีหลาน ๆ สมัครกัน 3 คน อีกทั้งคุณบุญญาภา สกุลแสงกระจ่าง ช่วยแนะนำสมาชิกให้ด้วยอีก 2 คน ต้องขอขอบคุณคุณบุญญาภา เป็นอย่างสูงคะ หลังจากนั้นเมื่อน้องชายได้รับยาฆ่าเชื้อชุดที่ 3 ก็หายดี ดิฉันคิดว่าจากผลบุญครั้งนี้ทำให้น้องชายน้องสาวหายป่วยได้เร็วกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ ทั้งคู่ได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2564 น้องทั้งสองคน แม้จะรักษาตัวคนละสถานที่แต่ก็ได้กลับบ้านในวันเดียวกัน หลังจากนั้นต่อมาก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกครั้งจนได้ ในวันที่ 3 ก.ค.64 ได้ทราบข่าวจากเพื่อนว่าครอบครัวพวกเขาติดโควิดกันทั้งสามคน พ่อแม่ลูก ซึ่งคนลูกนั้นเป็นครูสอนพิเศษให้แก่ลูกชายดิฉัน เขาเป็นนักเรียนแพทย์ปี 3 และดิฉันขอให้เขามาสอนวิชาเคมี และฟิสิกส์ให้ลูกชายดิฉัน ซึ่งใน 1 อาทิตย์จะมาสอน 3 วัน ในขณะที่สอนไม่มีการสวมหน้ากากแต่ก็นั่งห่างกันพอสมควร หลังจากสอนเสร็จทั้งคู่ก็จะนั่งทานข้าวเย็นด้วยกัน ดังนั้นลูกชายดิฉันจึงอยู่ในกลุ่มเสี่ยงอันดับต้น ๆ เพื่อนของดิฉันที่เป็นคุณแม่ของครูสอนพิเศษจึงแจ้งเรื่องต่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสาริกาให้ส่งพวกเราทุกคนในครอบครัวอันได้แก่ ลูกชายดิฉัน พ่อแม่สามี สามีดิฉัน และตัวดิฉัน ไปทำการตรวจหาเชื้อโควิท ซึ่ง ณ ตอนนั้นประเทศไทยไม่ใช่ทุกคนจะไปตรวจโควิดได้เลยนอกจากจะเป็นกลุ่มเสี่ยง ดังนั้นจากเคสของลูกชายเพื่อนทำให้พวกเรากลายเป็นกลุ่มเสี่ยงจึงดำเนินการขอตรวจโควิดได้เลย พวกเราได้รับการอนุมัติตรวจในวันที่ 5 ก.ค.64 และผลตรวจออกมาในเช้าวันที่ 6 ก.ค.64 ว่าทุกคนไม่พบเชื้อ จริงๆ ในตอนแรกที่ทราบข่าวจากเพื่อน ดิฉันเองไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลใด ๆ มั่นใจว่าพวกเราทุกคนไม่ติดแน่นอนคิดว่าบรรพบุรุษต้องช่วยคุ้มครองบวกกับการที่เพิ่งหาสมาชิกได้ใหม่น่าจะยังมีแรงบุญอยู่ และพวกเราก็ไม่มีอาการใดๆ ที่แสดงว่าติดโควิด ตอนที่ทราบข่าวช่วงแรกว่าครูสอนพิเศษลูกชายดิฉันติดแต่โรงพยาบาลยังไม่มีเตียงว่าง เขาต้องกักตัวเองอยู่ที่บ้านคนเดียวพ่อแม่เขาอยู่ที่โรงพยาบาล และเขาเริ่มจะมีอาการแล้วดิฉันจึงถามไปว่ามียาฟ้าทะลายโจรกินไหมเขาบอกไม่มีดิฉันจึงออกไปซื้อยาฟ้าทะลายโจรและนำไปแขวนให้เขาที่หน้าบ้านตอนนั้นเขายังออกมาให้เห็นหน้ากันได้เรายืนคุยกันห่าง ๆ ต่างคนก็ใส่หน้ากากไว้ด้วย คิดว่าอย่างน้อยยาฟ้าทะลายโจรนี่ก็เป็นตัวช่วยในการรักษาเริ่มต้นไม่ให้เชื้อแรง เพื่อนของดิฉันเขาได้ฉีดวัคซีนโควิดครบ 2 เข็มแล้ว แต่สามีและลูกชายไม่ได้ฉีด ดังนั้นทั้งสามีและลูกชายของเพื่อนเชื้อจึงลงปอดทำให้ปอดอักเสบแต่ตัวเพื่อนนั้นเชื้อไม่ลงปอด ดังนั้นการฉีดวัคซีนไม่ได้ช่วยกันไม่ให้ติดเชื้อโควิดแต่ช่วยไม่ให้เป็นหนักมาก เพื่อนที่ติดโควิดก็โทรมาถามอาการพวกเราบ่อย ๆ ว่ามีอาการอะไรหรือไม่ เขารู้สึกเสียใจและขอโทษที่พวกเขาติดโควิด และอาจจะนำเชื้อมาแพร่ให้พวกเรา ซึ่งดิฉันก็ตอบว่าพวกเราไม่มีอาการใด ๆ และต่อให้พวกเราจะติดโควิดก็ไม่ได้โกรธหรือโทษว่าเป็นความผิดของเขาเรื่องนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด และพวกเราก็ยังโชคดี เมื่อทราบผลว่าเป็น Negative ก็โล่งใจไปได้ช่วงหนึ่ง แต่ก็ยังต้องกักตัวรอดูอาการต่อไปอีก และทำการตรวจซ้ำรอบสองอีกครั้งในวันที่ 14 ก.ค.64 ผลออกมาว่าไม่พบเชื้อเช่นกัน จากเหตุการณ์นี้ทำให้ทางบ้านต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่าเดิม คือเวลาออกไปนอกบ้านต้องใส่หน้ากาก 2 ชั้น ระหว่างที่อยู่นอกบ้านจะไม่ถอดหน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ ดิฉันจะเป็นคนออกไปซื้อข้าวของเครื่องใช้อาหารให้กับครอบครัว พ่อแม่ของสามี และลูกชายจะไม่ออกจากบ้านเลย ดิฉันได้ถามเพื่อนว่าติดโควิดสายพันธุ์อะไรได้คำตอบว่าเป็นสายพันธุ์เบต้าคือสายพันธุ์ที่มาจากแอฟริกาใต้ค่อยยังช่วยที่ไม่ใช่เดลต้าเพราะเป็นสายพันธุ์ที่ร้ายแรงแต่ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์อะไรไม่ติดได้จะดีที่สุดคะ
สุดท้ายนี้ดิฉันขอขอบคุณเรยูไก และเพื่อนสมาชิกทุกคนที่ช่วยกันสวดมนต์และเป็นกำลังใจให้ ดิฉันจะตั้งใจปฏิบัติและจะพยายามหาสมาชิกเพื่อสร้างบุญกุศลสืบต่อไปคะ
ขอบคุณค่ะ
สุพรรณี มั่งคั่ง